#ที่เที่ยว

ตระการตาศิลปกรรมวัดสุวรรณดาราราม อารามแห่งต้นราชวงศ์จักรี

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ เรื่อง คุณานนท์ ทิมใจทัศน์ ภาพ

พิธีเจริญพระพุทธมนต์เฉลิมพระเกียรติในพระราชพิธี “สมมงคล” (อ่านว่า สะ-มะ-มง-คน) เนื่องในโอกาสพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุ 26,469 วันเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ผู้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ได้จัดขึ้น ณ ศาสนสถานอันเป็นพระบรมราชานุสรณ์ หรือเกี่ยวเนื่องกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ วัดสุทัศนเทพวราราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดอรุณราชวราราม วัดสระเกศ วัดชนะสงคราม วัดราชบูรณะ วัดระฆังโฆสิตาราม วัดคูหาสวรรค์ วัดราชสิทธาราม วัดกาญจนสิงหาสน์ วัดราชาธิวาส วัดโมลีโลกยาราม และวัดยานนาวา

วัดสุวรรณดาราราม ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงเพียงแห่งเดียวเท่านั้นซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงเทพมหานคร คืออยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ได้มีส่วนร่วมในพิธีอันสำคัญในครั้งนี้ด้วย เนื่องเพราะความเป็นมาในประวัติศาสตร์ถือว่าพระอารามแห่งนี้เป็นวัดแห่งต้นบรมราชวงศ์จักรี ด้วยเหตุที่พระราชบิดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คือสมเด็จพระปฐมบรมราชชนก (พระนามเดิมว่า “ทองดี”) เมื่อครั้งรับราชการเป็นออกพระอักษรสุนทรศาสตร์ เสมียนตรามหาดไทยในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นผู้สร้างขึ้น ในพื้นที่บริเวณทางทิศใต้ของเกาะเมือง ใกล้กับป้อมเพชร อันเป็นชุมชนการค้าชาวจีน ย่านเศรษฐกิจสำคัญของกรุงศรีอยุธยา ให้ชื่อว่า “วัดทอง”

หลังจากพุทธศักราช 2310 ที่กรุงศรีอยุธยาถูกกองทัพพม่าเผาทำลาย อารามแห่งนี้ก็ถูกทอดทิ้งปรักหักพังรกร้างยาวนานเกือบสองทศวรรษ กระทั่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์พร้อมทั้งได้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานีแห่งใหม่เรียบร้อยแล้ว ในปี พ.ศ. 2328 จึงทรงร่วมกับพระราชอนุชา สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท บูรณปฏิสังขรณ์ “วัดทอง” ขึ้นอีกครั้ง โดยทรงยกที่ดินบ้านเดิมหลังป้อมเพชรให้เป็นพื้นที่วัดเพิ่มเติม ทั้งยังโปรดฯ ให้ขุดคลองเป็นเส้นทางสัญจรจากทางแม่น้ำป่าสักผ่านกำแพงเมืองมาถึงหน้าวัดเพื่อความสะดวกในการเดินทางของภิกษุสงฆ์ พระราชทานชื่อวัดใหม่ตามนามของพระราชบิดา (ทองดี) กับพระราชมารดา (ดาวเรือง) เป็น “วัดสุวรรณดาราราม” ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ราชวรมหาวิหาร

สถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สุดของวัดคือพระอุโบสถ สร้างขึ้นพร้อมกับเจดีย์ทรงระฆังบนฐานแปดเหลี่ยมด้านหลังอุโบสถซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระราชบิดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยรอบอุโบสถปักใบเสมาศิลาคู่ขนาดใหญ่แบบกรุงเก่า ตัวอุโบสถขนาด 7 ห้องสร้างและประดับประดาอย่างวิจิตร ยังคงสืบทอดรูปแบบสถาปัตย์อันเป็นที่นิยมจากกรุงศรีอยุธยาตอนปลายสู่ต้นรัตนโกสินทร์ ด้วยฐานปัทม์ทรงสูง หน้ากระดานคาดบัวลูกแก้วอกไก่ ลักษณะแอ่นโค้ง “ท้องสำเภา” อันแฝงความหมายว่าพุทธศาสนาเปรียบดังเรือสำเภาที่จะนำพาสัตว์โลกให้หลุดพ้นไปจาก “โอฆสงสาร” หรือการเวียนว่ายตายเกิดในห้วงของกิเลส อันประดุจห้วงมหรรณพอันกว้างใหญ่ หลังคาพระอุโบสถมุงกระเบื้องเคลือบ ประดับช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ หน้าบันไม้สักจำหลักประติมากรรมลอยตัวรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณยุดนาค

ส่วนน่าชมเป็นพิเศษคือคันทวยแกะสลักไม้ปิดทองรูปพญานาคสามเศียร ที่ไม่เพียงแกะเป็นตัวนาคอย่างเดียว ยังเพิ่มความวิจิตรขึ้นด้วยลายเครือเถาม้วนวนรอบลำตัวนาคอีกชั้นจนตระการตา สองฟากผนังเจาะช่องซุ้มหน้าต่างทรงบันแถลงบนแข้งสิงห์อลังการด้วยลวดลายปูนปั้นลงรักปิดทองประดับกระจก ส่วนน่าสนใจอีกจุดคือ “ซุ้มหน้าต่างหลอก” ที่หากมองผนังอุโบสถด้านนอกจะเห็นมีหน้าต่าง 7 ช่อง แต่เมื่อเข้าไปดูภายในจะเห็นว่ามีหน้าต่างจริงซึ่งปิดเปิดได้เพียง 3 ช่องเท่านั้น (นัยว่าเพื่อการรับน้ำหนักหลังคาและให้มีพื้นที่บนผนังด้านในสำหรับจิตรกรรม) ประตูใหญ่กลางด้านหน้าอุโบสถเป็นซุ้มทรงมณฑป ส่วนประตูเล็กสองข้างเป็นซุ้มทรงบันแถลง

 

ภายในพระอุโบสถเพดานเบื้องบนเป็นไม้จำหลักลายดวงดาราบนพื้นสีแดง ลงรักปิดทองประดับกระจก กึ่งกลางเป็นดาวประธานในกรอบย่อมุมไม่สิบสอง ล้อมรอบด้วยดาวบริวาร ๑๒ ดวง เหนือรัตนบัลลังก์ฐานแข้งสิงห์ประดับกระจกสี ประดิษฐานพระพุทธรูปประธานปูนปั้นปิดทองปางมารวิชัย ศิลปกรรมรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งล่าสุดเพิ่งได้รับพระราชทานนาม “พระพุทธสุวรรณวชิโรภาส ทศมินทราธิราชบพิตร” มีความหมายว่า “พระพุทธปฏิมากรทรงมีรัศมีแห่งทองและเพชร อันพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 ทรงบูชา” โดยรอบชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปรองปูนปั้นปิดทองขนาดเล็ก ๘ องค์ สองฟากซ้ายและขวาขององค์พระประดิษฐานนพปฎลมหาเศวตรฉัตร ล่าสุดในงานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ยังได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ๓๒ องค์ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร ประทานมาประดิษฐานไว้ในบุษบกทองกรุด้วยกระจกใสเบื้องหน้าองค์พระประธาน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้บูชาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย

บนฝาผนังทั้งสี่ด้านเขียนภาพจิตรกรรมฝีมือช่างหลวงสมัยรัชกาลที่ 1 และสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งมีการเขียนซ่อมแซม ผนังด้านหลังพระประธานเขียนภาพไตรภูมิ ส่วนผนังด้านข้างทั้งสองฟากแบ่งภาพออกเป็นสองส่วน เหนือผนังหน้าต่างขึ้นไปจดเพดานเป็นภาพเทพชุมนุม นั่งพนมมือหันหน้าไปทางพระประธาน ถัดลงมาผนังระหว่างช่องหน้าต่างเป็นภาพทศชาติชาดกหรือพระเจ้าสิบชาติ ส่วนผนังหุ้มกลองด้านหน้าพระประธานเขียนเล่าเรื่องพุทธประวัติ ตอนมารวิชัยหรือผจญมารเต็มผนังสุดอลังการ ด้านหลังบานประตูวาดเป็นทวารบาลในลักษณะของ “เซี่ยวกาง” ผสมผสานรูปแบบระหว่างไทยกับจีนดูแปลกตา

 

เคียงข้างกับพระอุโบสถคือสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นภายหลังในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้แก่ เจดีย์ประธานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นทรงระฆัง มีมาลัยเถาสามชั้นรองรับองค์ระฆัง ตั้งอยู่บนฐานสูงที่ด้านบนทำเป็นลานประทักษิณ รูปแบบที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ 4 รายล้อมด้วยเจดีย์ทรงเครื่ององค์ระฆังกลีบมะเฟืองเลียนแบบเจดีย์ในสมัยอยุธยา และพระวิหารที่จำลองรูปแบบสถาปัตยกรรมมาจากพระอุโบสถ แตกต่างกันตรงไม่มีคันทวย เหนือหน้าบันและซุ้มประตูประดับตราพระมหาพิชัยมงกุฎ อันมาจากพระนามาภิไธย “มหามงกุฎ” ซึ่งเป็นตราประจำรัชกาลที่ 4 ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรโลหะลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย บนฐานชุกชี ภายใต้ซุ้มเรือนแก้วประดับลวดลายจำหลักเขียนสีปิดทองงดงาม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามว่า “พระพุทธวชิรญาณบพิตร” อันมีความหมายว่า “พระพุทธปฏิมากร อันพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 4 ทรงสร้าง”

 

ที่โดดเด่นแปลกตาแตกต่างจากที่เคยเห็นกันทั่วไป คือบนผนังภายในวิหารวาดจิตรกรรมพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช รวม 21 ตอน ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ กระทั่งทรงกระทำยุทธหัตถีพิชิตชัยพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดี ว่ากันว่าเป็นจิตรกรรมสีน้ำมันบนผนังปูนแห่งแรกของประเทศไทย วาดในลักษณะสมจริงทั้งกายวิภาคและแสงเงาไม่ใช่แบบจิตรกรรมไทยประเพณี ฝีมือของมหาเสวกตรี พระยาอนุศาสนจิตรกร (จันทร์ จิตรกร) ศิลปินผู้เป็นจิตรกรและช่างภาพเอกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ถือเป็นงานศิลปะชิ้นเยี่ยมที่ไม่ควรพลาดชม
ความร่มรื่นเขียวขจีของต้นพระศรีมหาโพธิ์ตรงหน้าพระอุโบสถคือสิ่งสำคัญอีกประการที่ควรสักการะ เนื่องด้วยเป็นต้นโพธิ์ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงนำหน่อจากพุทธคยาที่ประเทศอินเดียมาปลูกไว้เมื่อครั้งทรงมาสร้างวิหาร เจดีย์ประธาน หอระฆัง พร้อมทั้งบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามครั้งใหญ่ในรัชสมัยของพระองค์

สุดท้ายแอบกระซิบว่าด้านหลังวัดในดงกล้วยริมคลองมีสถาปัตยกรรมเก่าแก่อีกอย่าง ไม่ค่อยได้เห็นที่ไหน (เพราะไม่ค่อยมีใครเก็บรักษาไว้) คือ “เว็จกุฎี” หรือ “ส้วมพระ” โบราณ ไปดูไปชมกันเป็นของแถมได้ครับ สถาปัตยกรรมแปลกตา คร่ำคร่าได้อารมณ์ไปอีกแบบ (ไหน ๆ มาแล้ว ก็ชมเสียให้ครบครัน) อ้อ ยังมีทิวต้นตาล ส่วนประกอบสำคัญที่เสริมภูมิทัศน์ของวัดให้ดูมีบรรยากาศโบราณอีกด้วย เห็นว่ามีทั้งหมด 14 ต้น ใครมาก็ช่วยกันนับให้ครบทุกครั้งที่มาเยือนด้วยแล้วกันครับ ถือว่าเป็นการช่วยอนุรักษ์ในอีกทางหนึ่ง

10/03/68 เวลา 09:16 น.