
สื่อสารกับพลังของครูช่างไทย
นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว ชวนแวะและชวนชม
ทุกภูมิภาคของประเทศไทยมีภาพเขียนสีฝีมือมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์อายุเวลาหลายพันปีปรากฏอยู่ตามเพิงผา ภาพเขียนยุคดึกดำบรรพ์เหล่านี้ พวกเขาไม่ได้ผลิตงานไว้เพื่อมุ่งหวังแสดงฝีมือและตัวตนของเหล่าผู้สร้างงาน มีความจริงในมิติทางจิตวิญญาณเช่นใดเล่าอยู่ในผลงานศิลปะถ้ำเป็นหมื่นปีก่อน หลายพันปีก่อน สืบเนื่องต่อมาถึงการสร้างงานของศาสนศิลปินในยุคปัจจุบัน
ศิลปะถ้ำกับการสื่อสารของพลัง
ผลงานศิลปะถ้ำจำนวนมากในเมืองไทยก็เช่นกัน มีการเขียนภาพในลักษณะเป็นโครงกระดูกอยู่ในนั้น ที่เรียกว่าภาพเขียนสีแบบเอกซเรย์ ดังปรากฏที่เขาปลาร้า จังหวัดอุทัยธานี
มีแนวคิดที่น่าสนใจในเรื่องที่มาและความหมายของภาพเขียนสีแบบเอกซเรย์ของปรมาจารย์นักโบราณคดีฝรั่งชั้นนำจากประเทศแอฟริกาใต้ยุคนี้ แหวกแนวคิดของนักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาตะวันตกอย่างสิ้นเชิง แต่ได้ให้ความหมายอันน่าสนใจยิ่ง ท่านคือศาสตราจารย์เจมส์ เดวิด เลวิส วิลเลียมส์ ผู้มีผลงานโดดเด่นระดับโลก ได้รับรางวัลมากมายในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับศิลปะตามถ้ำและเพิงผา กล่าวว่า“ภาพเขียนสีแบบ X-Ray ที่ปรากฏอยู่ในเพิงหินเหล่านั้น ทำขึ้นโดยหมอผีมนุษย์โครมันยอง ในสังคมล่าสัตว์ก่อนประวัติศาสตร์ พวกหมอผีจะเข้าไปในส่วนลึกมืดของถ้ำ เพื่อปฏิบัติภาวนาจนจิตเข้าสู่กาลภวังค์ เห็นนิมิต แล้วถ่ายทอดเป็นงานศิลปะภาพเขียนสีออกมา”
การใช้ศิลปะเป็นหนทางบันทึกความเข้าใจทางจิตของศิลปินที่สื่อสารกับความจริงสูงสุด (Reality) หรือพลังสูงสุดของธรรมชาติ เป็นแนวคิดปรากฏอยู่ทั่วทุกมุมโลก ในปี พ.ศ. 2555 ดิฉันได้ไปทำงานและเดินทางในประเทศเวียดนามประมาณ 1 เดือน ได้พบกับศิลปินเวียดนาม อาจารย์เหงียนซุนเวียด อาจารย์ใหญ่ทางศิลปะของเวียดนามในยุคปัจจุบัน และได้ศึกษาโดยตรงทั้งจากมหาวิทยาลัยฮานอยกับทั้งเป็นศิษย์ติดตัวของปรมาจารย์ศิลปินเวียดนาม อาจารย์เหงียนยาตรี๊ ซึ่งเรียนศิลปะโดยตรงกับคณะศิลปินฝรั่งเศสที่เข้ามาเปิดมหาวิทยาลัยศิลปะในฮานอย ยุคที่เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส อาจารย์ตรี๊ถ่ายทอดปรัชญาศิลปะอันลึกซึ้งไว้มากมาย และย้ำเสมอในงานเขียนของท่านว่า จุดหมายของศิลปินนั้น “เราทำงานใด ๆ ล้วนเป็นไปเพื่อการบรรลุธรรม การทำศิลปะเหมือนการบวชเรียนอยู่ข้างใน เพราะจิตรกรรมเป็นเรื่องจิตของเราข้างในหลั่งไหลออกข้างนอกมาให้เห็น ดังนั้นต้องฝึกตัวเองให้ดี ต้องทำดีทุกอย่าง งานศิลปะของเราจะยิ่งดี”
แต่สิ่งสำคัญที่สุด ที่อาจารย์ตรี๊อธิบายไว้กับอาจารย์เหงียนซุนเวียดก็คือ “สำหรับอาจารย์ตรี๊แล้ว งานศิลปะแต่ละ Painting เป็นหนึ่งซาโตริ งานแต่ละชิ้นเป็นการบรรลุธรรม เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และก็ต้องมีครั้งหนึ่งที่ตื่นทั้งหมด ภาษาเวียดนามเรียกคำนี้ว่า ‘โหงะ’ หมายถึงการพบการบรรลุธรรมทั้งหมด อาจารย์ตรี๊บอกว่า การบรรลุธรรมเป็นสิ่งที่เราต้องถึงทั้งหมด อันอื่นไม่สำคัญเท่า การพบโหงะหรือบรรลุธรรมสำคัญที่สุด ถึงจุดนั้นศิลปินจะเป็นคนอิสระ จิตว่าง เมื่อจิตว่างเราจะทำงานศิลปะใหม่ได้ใหม่เสมอ เหมือนธรรมชาติที่ใหม่ทุกวัน ซึ่งไม่ใช่การคิดใหม่ นั้นน่ะไม่ใหม่จริง เพราะสมองเรามันเก่า และอาจารย์ตรี๊ยังบอกว่า การหลุดพ้นของคนเพียงคนเดียวจะช่วยได้ทุกคนเลย”
และอาจารย์เหงียนซุนเวียดยังอธิบายให้ดิฉันได้รับรู้ดวงจิตขณะทำงานศิลปะอย่างแจ่มชัดที่สุดว่า “ทีแรกเป็นจิตนำทางก่อน หลังจากนั้นจึงใช้ความคิดตรวจสอบแก้ไข อาจารย์ตรี๊เองก็เคยอธิบายเรื่องนี้ให้ผมฟังว่า เวลาเราทำงานศิลปะจะเหมือนเราฝัน แต่เมื่อเราตื่น เราจะตรวจสอบความคิดของเรา และมันมีการสืบต่อและเชื่อมโยงกันจากฝรั่งเศสมาถึงผม ผ่านอาจารย์ตรี๊ อาจารย์ตรี๊เป็นศิษย์โดยตรงของทางฝรั่งเศส ถึงตอนนี้ผมจะมีอายุ 62 ปี แต่อายุทางศิลปะของผมไม่ใช่แค่ 62 ปีเท่าตัวผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ หากรวมเอาอายุผม 62 ปี+ อายุอาจารย์ตรี๊ 80 กว่าปี+ อายุศิลปะของอาจารย์ฝรั่งเศสอีกหลายร้อยปี ดังนั้นอายุศิลปะของผมนายเหงียนซุนเวียดมันจึงยาวนานถึง 500-600 ปี ไกลไปจนถึงยุคดึกดำบรรพ์
“นั่นทำให้ผมเห็นคนยุคหินทำงานศิลปะทิ้งเอาไว้ก็สัมผัสจิตใจคนทำได้ อย่างภาพวาดในถ้ำของฝรั่งเศสมีอายุถึง 17,000 ปี มันเป็นจิตจากดวงจิตเดียวกันกับผลงานของจิตรกรกลุ่ม New York School อย่าง Paul Jackson Pollock (ค.ศ. 1912-1956) หรือ Arshile Gorky (ค.ศ. 1904?-1948) ที่ทำงานในลักษณะ Abstract Expressionist Painting งานศิลปะเหล่านี้ไม่ได้ผุดเกิดขึ้นลอย ๆ แต่สืบทอดมาจากวิถีในอดีตแล้วสืบต่อให้กับคนทำงานศิลปะรุ่นหลัง เมื่อพวกเราคนทำงานศิลปะถ้าทำได้ถูกต้อง ถูกทาง เราก็จะเข้าไปอยู่กับสายธาร Spirit ของคนโบราณ ภาษาเวียดนามเรียกสายธารนี้ว่า ‘เติม ลิง(Tam ling)’ หมายถึง ‘หัวใจศักดิ์สิทธิ์’”
มนุษย์คือแสงสว่างที่รู้สึกตัวได้
ในการทำงานศิลปะของครูช่างไทยก็เช่นกัน โดยเฉพาะกับการปั้นพระพุทธรูปองค์สำคัญ ๆ เรามักพบตำนานเล่าประกอบมาด้วยเสมอว่า การสร้างพระแต่ละครั้ง ครูช่างต้องถือศีลนุ่งขาวห่มขาว ปฏิบัติภาวนาจนยกระดับดวงจิตไปสัมผัสถึงภูมิแห่งความงาม แลเห็น “นิมิต” (Vision) แล้วจึงนำภาพนิมิตนั้นมาเนรมิตพุทธประติมาขึ้น ดิฉันเคยสนทนาในประเด็นนี้กับครูสอนวิปัสสนาของดิฉัน ผู้เป็นทั้งวิปัสสนิกและศิลปินแห่งชาติ ท่านอาจารย์โกวิท เขมานันทะ โดยท่านได้ให้คำอธิบายไว้ว่า ในพระไตรปิฎก พระสูตรสำคัญในการสร้างโลก การเกิดของมนุษย์มีระบุอยู่ใน “อัคคัญสูตร” กล่าวถึงไว้ว่า
“มนุษย์เป็นแสงประภัสสรโปร่งใสอันประเสริฐ (อาภัสสรพรหม) แต่ด้วยการเสพย์บางสิ่ง (ง้วนดิน หรือวุ้นดิน) จนเกิดสภาพหนักทึบ และไม่อาจเหินในอากาศได้ ความนัยข้อนี้ใช่ว่าตื้น ตามทางรหัสแห่งปกรณัม กล่าวคือเนื่องแต่ความลึกเร้นนั่นแหละจึงจำต้องแสดงนัยผ่านภาพลักษณ์ (Image) ต่อความจริงนั้น ๆ แสงประภัสสรโปร่งใสทั้งไร้เพศ กลับแค่นแข็งซ่อนแสงสว่างไว้ภายใน ต่อเมื่ออินทรียประสาทถูกปลุกเร้าให้คลี่คลาย แสงพิเศษนั้นก็แสดงออกในการภาวนาดังกล่าวแล้ว มนุษย์เรา, กายอันเป็นแหล่งของเครือข่ายอินทรียประสาท ได้เป็นร่างแหซ่อนอาภาธาตุดั้งเดิมไว้ รึว่าธาตุฐานของมนุษย์คืออาภัสรา-แสงสว่างที่รู้สึกตัวได้ เรื่องทั้งนี้ก็พอที่จะเชื่อมโยงสภาวะอาภัสสรพรหมกับแสงสว่างภายในอันเป็นฐานแห่งปรีชาญาณ กล่าวคือมนุษย์คือแสงสว่างที่รู้สึกตัวได้”
ด้วยความที่ “มนุษย์คือแสงสว่างที่รู้สึกตัวได้” อันเปี่ยมด้วยปรีชาญาณ (Intuition) เช่นนี้เอง การทำงานศิลปะของมนุษย์ ด้วยดวงจิตที่ผ่านการภาวนา ผ่านหนทางแห่งวิปัสสนาญาณ จึงทำให้ผลงานศิลปะทั้งจากยุคหินศิลปะถ้ำ เรื่อยมาด้วยวิถีพุทธศิลป์ จึงเป็นการ “ประจุ” พลังทางจิตลึกซึ้งสูงสุดที่สัมผัสเข้าถึง ไว้ในผลงานของครูช่างบางท่าน ดังเช่นงานปูนปั้นหน้าบันอุโบสถวัดเขาบันไดอิฐ จังหวัดเพชรบุรี ที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ดังที่ครูสมบัติ พูลเกิด ช่างใหญ่เมืองเพชรเคยกล่าวกับดิฉันถึงการขึ้นไปดูงานปูนปั้นโบสถ์วัดเขาบันไดอิฐในครั้งแรกกับครูของท่านที่ชื่อมหากาหลงว่า
“บนเขาบันไดอิฐมีโบสถ์อยู่ด้วย คุณเอ๊ย ตอนไต่เขาขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนเราได้ขึ้นสวรรค์ เพราะบรรยากาศภูมิประเทศให้ เห็นโบสถ์ลอยเลื่อนบนยอดเขาสูงแต่ไกล เจดีย์งาม ฟ้างาม พอไปยืนหน้าโบสถ์ ผมตะลึง ตาไม่กะพริบ มันสวยไปหมด ปูนปั้นหน้าบันโบสถ์ประหลาดอะไรอย่างนี้ มหากาหลงชี้ให้ดู เห็นไหม นี่ลายอยุธยา ลายเถากลม ใบห่อ ใบพลิกเหมือนกระดิกได้ แกสั่งเอาดินน้ำมันออกมา ผมถามจะเอาทำอะไร แกบอกมึงดู ลายมันกระดิกได้ ไหนปั้นให้มันกระดิกได้อย่างนั้นซิ แกไม่แตะดินน้ำมัน พากย์อย่างเดียว แกบอกเห็นไหม ด้านซ้ายพลิกกระดิกระรัวไป บิดก้านริก ๆ เหมือนลอยออกจากผนัง ทำให้ได้อย่างตาเห็นซิ แกยังพาดูศาลาโบสถ์ เห็นไหมมันโค้งแอ่น เสาแต่ละต้นดูเผิน ๆ เหมือนกัน แต่ดูหัวเสาไม่เหมือนกัน
“ลายเพชรบุรีจะมีชุดเดียวของมัน คือ เถากลม พุ่มข้าวบิณฑ์ กนกสามตัว พันธุ์นี้พันธุ์เดียวนั้นแหละ แตกยอดมาจากชุดนี้ทั้งนั้น ผมศึกษาลายไทยที่วัดเขาบันไดอิฐ วัดไผ่ล้อม คนสร้างงานไว้ตั้งแต่สมัยอยุธยา เขาต้องมีระดับอภิญญาแก่กล้าจึงจะออกลายเช่นนี้ได้ ดูแล้วให้ปลายมันกระดิกออกมาได้ ให้เถาให้ลายมีจิตวิญญาณสิงอยู่ในนั้น ทีนี้มันสะท้อนกลับ ผู้ที่ไปเห็นปั๊บนี่ ผมเชื่อ ครูเก่าเขาไม่ได้ให้กับทุกคน เขาจะแลนิมิตหมายให้มันซับซ้อน ให้มันมีมิติมุมมอง ให้ดูแล้วรู้สึกไม่อยากกลับบ้าน ให้เราไปหลงใหล แล้วเราล่ะได้ผลงานออกมาไหม ถ้าเขาให้-เราได้ ถ้าได้ ต้องไปดูเขาอีก”
ผลงานของครูเฉลิม พึ่งแตง
ครูใหญ่ทางศิลปะเมืองเพชรบุรียุคนี้ท่านหนึ่งที่ผีมือการเขียนภาพ ออกลาย ปั้นปูนปั้นพระ ล้ำเลิศยิ่ง คือครูเฉลิม พึ่งแตง วัย ๗๘ ปี ครูสร้างผลงานยอดเยี่ยมไว้มากมายที่เมืองเพชรบุรี และจังหวัดต่าง ๆ ในภาคกลางของไทย งานสุดยอดชิ้นหนึ่งที่ดิฉันไปดูมาแล้วหลายครั้ง อยู่ที่หน้าบันศาลาการเปรียญวัดพลับพลาชัย อำเภอเมืองฯ จังหวัดเพชรบุรี ที่ครูออกลายและปั้นงานไว้ เมื่อครั้งอายุไม่ถึง 25 ปี หรือราว 50 กว่าปีก่อน ผลงานครูเฉลิมชุดนี้งามลึกตรึงจิตติดตา ฝีมือปั้นงานสะบัดเปลว ออกลายได้ถึงรุ่นครูช่างอยุธยา ลายก้านขด ลายเปลว พลิ้วสะบัดราวไฟลุกวาบ กินนรกินรีขนาบสองข้างด้วยสิงโต สิงห์เพลิง เอี้ยวตัวเต้นระริก โอ้ พลังหนุ่มของครูเฉลิมเชื่อมต่อกับงานครูโบราณ วาบประกายฉายฉานอยู่ในแท่งปูนแข็งกระด้าง ให้เคลื่อนกระแสพลังกลายเป็นอมตะแห่งชีวิต ลวดลายแล่นโลดในเปลวปูน ราวประจุมนตราอันยากที่กาลเวลาจะทำลายได้ ลงไปฉะนั้น
ที่น่าสนใจยิ่งก็คือ เส้นสีดำร่างลายบนผนังหน้าบันยังเหลือเค้าเงาให้เห็นได้ชัด เวลาผ่านไป 50 กว่าปี ไม่ลบเลือนไปเลยล่ะหรือ เส้นดำสะบัดลาย เขียนไว้ด้วยหมึกหรือถ่านประเภทไหน น่าฉงนซะจริง
ครั้นสอบถามจากครูเฉลิม ครูกล่าวว่า “ช่วงปี พ.ศ. 2511 พอผมปั้นปูนหน้าบันวัดกุฏิดาวเสร็จ ผมก็ไปทำงานที่ศาลาวัดพลับ ตอนนั้นครูพิน อินฟ้าแสง ครูช่างใหญ่เมืองเพชร ท่านกำลังปั้นปูนหน้าบันศาลานี้อยู่ด้านหน้าติดถนนใหญ่ ผมไปกราบขอพรครูพิน ท่านให้ถ่านไม้ที่ท่านเผาเองจากไม้กระดังงา ยาวสัก 1 เจียก
“คนโบราณเขาวัดเป็นคืบเป็นเจียก 1 คืบคือเหยียดนิ้วมือวัดจากนิ้วโป้งถึงนิ้วกลาง แต่ถ้าเหยียดนิ้วมือวัดจากนิ้วโป้งถึงนิ้วชี้น่ะเป็น ๑ เจียก เจียกหนึ่งวัดมาตราปัจจุบันก็ยาวสัก 5-6 นิ้วได้ ครูพินท่านเอาถ่านไม้กระดังงายาวราว 1 เจียกให้ผมมา 4-5 อัน แล้วท่านก็ให้พร สวดสิทธิการิยะให้พรผม
“ช่างไทยโบราณเขาจะใช้ถ่านไม้กระดังงาร่างภาพ เพราะใช้สะดวกดี เวลาเขียนร่างบนพื้นปูนหน้าบัน เพื่อจะปั้นปูน ถ้าไม่ต้องการ ไม่พอใจเส้นร่างจากถ่านกระดังงา ใช้ผ้าปัดปั๊บ มันออกง่าย ไม่ทิ้งรอยไว้ เมื่อร่าง ๆ ไปจนพอใจแล้ว เราก็ใช้พู่กันสง่ามะยุระ เบอร์ 4-5 จุ่มหมึกอินเดียอิงก์ขวดเล็กเขียนทับ มันจะติดทนนาน โดนน้ำก็ไม่ลอก
“พอร่างด้วยถ่านกระดังงา ลงอินเดียอิงก์แล้ว ก็โกลนลายขึ้นมา วิธีเขียนเส้นร่างออกลาย มี 2 ลักษณะ ถ้าจั่วขนาดเล็ก ก็เอากระดาษห่อของสีน้ำตาลอย่างที่ใช้ห่อปกหนังสือไปทาบกับขนาดจั่วให้ได้ขนาดเดียวกัน แล้วเอาลงมาร่างลายข้างล่าง แต่หน้าบันศาลาวัดพลับมันใหญ่โต ต่อกระดาษไม่ไหว ผมเลยเขียนผ่าศูนย์กลาง ลากเส้นศูนย์กลางยาวลงมา แบ่งห้อง แบ่งส่วน ทำเป็นตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัส มันสะดวกซ้ายขวา ให้เรารู้ว่าเขียนเส้นไปถึงไหน เพราะมีเส้นตารางกำกับเป็นหมายไว้ เส้นตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะบังคับ ตารางนี้อาจจะใช้ยาว ๑ เมตร หรือครึ่งเมตรก็ได้ ช่วยให้สะดวกในการร่างลายสองฟากให้เท่ากัน
“ผมไปร่างลายบนพื้นปูนหน้าบันเลย ไม่ได้คิดลายไปก่อน แต่ไปคิดไปทำทั้งหมดบนหน้าบัน ตามเหมาะสมของเขา งานชุดนี้ผมเขียนไปเรื่อย ๆ เขียนอยู่หลายวัน เพราะพื้นที่ใหญ่ เขียนไปลบไป ลบจนถ่านกระดังงาที่ครูพินให้มาหมดไปเลย จนต้องเอาถ่านหุงข้าวที่เบา ๆ มาใช้ร่าง พอร่างเสร็จทั้งภาพ ถึงเอาพู่กันสง่ามะยุระมาจุ่มอินเดียอิงก์เขียนตามที่เราร่างไว้ อินเดียอิงก์ทนน้ำมาก ถึงได้เห็นเส้นร่างมาจนเดี๋ยวนี้ เป็นวิธีทำแบบคนโบราณ ไม่เคยมีใครมาถามวิธีร่างภาพ ขึ้นโกลนจากผม คนเดี๋ยวนี้ไม่รู้วิธีแล้วว่าช่างไทยรุ่นเก่าเคยทำกันมาอย่างไร”
งานแผลงฤทธิ์เป็นทิพย์
การสื่อสารกับพลังและ “ประจุพลัง” ลงในงานศิลปะ บทสรุปชัดเจนที่สุดที่ดิฉันได้พบมาปรากฏอยู่ในคำอธิบายของท่านอาจารย์อาวุธ อังคาวุธ ในหนังสือภูมิปัญญาสถาปัตยกรรม ชุดที่ 1 กล่าวไว้ว่า “บัดนี้ข้าพเจ้าได้เข้าใจแล้วว่างานอาชีพใดก็ตาม เมื่อปฏิบัติเชี่ยวชาญจนเป็นวิถีชีวิต งานจะแผลงฤทธิ์กลายเป็นทิพย์ ท่านเหล่านั้นจะกลายเป็นร่างทรง ให้ธรรมชาติถ่ายทอดกฎเกณฑ์วิจิตรบรรจง สังเคราะห์ผ่านทางสัญชาตญาณ ลงมาสู่วิญญาณในโลก”
ศึกษาและดูงานศิลปะครูช่างหลากหลายยุคสมัย สืบเนื่องแห่งการบันทึกประจุพลังไว้ในผลงาน ทำให้ดิฉันได้ประจักษ์ล้ำลึกในดวงจิต…ทิพยศิลปะเลิศค่าเช่นนี้เอง