#แวะชมสมบัติศิลป์

ดอนหินศิลา เสมาพันปีนอกแผนที่มรดกโลก

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ เรื่อง / สุรพล สุภาวัฒนกุล ภาพ

เพิ่งจะได้เฮกันไปหยก ๆ สำหรับชาวไทย หลังจากที่องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ

หรือยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทและแหล่งวัฒนธรรมสีมา วัดพระพุทธบาทบัวบาน ในอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา

หลายคนเลยเชียวที่พอรู้ว่าภูพระบาทได้เป็นมรดกโลกปุ๊บ ก็รีบเดินทางมาเที่ยวชมปั๊บทันที (สมกับเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม “เบอร์ 5” ของไทย) ต่างคนถ่ายภาพมาโพสต์อวดอยู่มากมายตามหน้าฟีดของสื่อโซเชียล ผมนั่งไถหน้าจอมือถือดูเล่น ๆ เห็นว่าส่วนใหญ่มักจะแค่ไปถ่ายภาพที่ “ภูพระบาท” แถวหน้าหอนางอุสาและเพิงหินใกล้ ๆ พอเป็นหลักฐานว่าฉันก็มาเยือนมรดกโลกภูพระบาทแล้วเหมือนกัน มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นครับ ที่เที่ยวละเอียดขนาดดั้นด้นจนถึง

“แหล่งวัฒนธรรมสีมา วัดพระพุทธบาทบัวบาน” ซึ่งได้รับการประกาศร่วมอยู่ในพื้นที่มรดกโลกด้วย (นี่ขนาดห่างจากภูพระบาทแค่ประมาณ 18 กิโลเมตรเท่านั้นนะ) ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เห็นมีสักคนแวะเข้ามาชม “ดอนหินศิลา” แหล่งใบเสมาหินทวารวดีอีกแห่ง ซึ่งแม้ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในพื้นที่มรดกโลก แต่ก็อยู่ไม่ไกล แค่คนละฟากถนนกับปากทางเข้าวัดพระพุทธบาทบัวบานแหล่งมรดกโลก ทั้งที่เป็นโบราณสถานที่น่าเที่ยวชมมาก เนื่องจากอายุรุ่นราวคราวเดียวกับทั้งภูพระบาทและพระพุทธบาทบัวบาน แถมยังเป็นแหล่งที่อยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ แม้จะผ่านกาลเวลามานานถึงพันกว่าปี

กรมศิลปากรสำรวจเจอใบเสมาหินแตกหักจากการไถพรวนพื้นที่เพื่อทำเกษตรกรรมบนผิวดินในบริเวณนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ก่อนที่ต่อมาในปี พ.ศ. 2559 จะตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วพบว่าลักษณะของพื้นที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า บริเวณกึ่งกลางเป็นเนินดิน มีความสูงกว่าบริเวณใกล้เคียงโดยรอบ แสดงว่าอาจเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมในสมัยโบราณ จากนั้นในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2566 จึงได้ดำเนินการขุดค้นและขุดแต่ง ในที่สุดก็สำเร็จเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา

 

ภาพที่ปรากฏเด่นชัดหลังการขุดแต่งคือ กลุ่มใบเสมาสมัยทวารวดี ทุกใบมีลักษณะเป็นแผ่นแบน ส่วนบนโค้งเหมือนกลีบบัว ส่วนกลางเรียวเป็นเอวคอดแล้วบานออก ส่วนฐานล่างสลักเป็นเดือยหินใช้ปักลงบนพื้นดิน เรียงรายอยู่บนลานดินในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 20 เมตร ยาว 25 เมตร แสดงขอบเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา

ตัวใบเสมาปักตามทิศทั้ง 8 ทิศ ทิศละ 3 ใบ ซ้อนกัน 3 ชั้น รวมทั้งหมด 24 ใบ โดยแต่ละชั้นมีขนาดลดหลั่นกันไป ชั้นนอกสุด ขนาดเล็กสุด สูงประมาณ 1.32 เมตร ชั้นกลาง สูงประมาณ 1.86 เมตร ชั้นในสุด ขนาดใหญ่ที่สุด สูงประมาณ 2.31 เมตร ทุกใบสลักแกนกลางเป็นสันนูนกึ่งกลางแผ่นทั้งด้านหน้าและหลัง โดยเฉพาะใบเสมาขนาดใหญ่ชั้นในสุด ยังมีลวดลายแกะสลักเป็นประติมากรรมนูนต่ำบอกเล่าเรื่องราวในพุทธศาสนา เช่น พุทธประวัติ นิทานชาดก อยู่ตรงส่วนโคนด้านหน้าของใบเสมาอีกด้วย รูปแบบศิลปกรรมนี้ได้รับอิทธิพลศิลปะขอมสมัยเกาะแกร์ (ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 15) ใบเสมาทั้งหมดตั้งล้อมรอบพื้นที่ตรงกึ่งกลางลาน เป็นเนินดินกว้าง 3.5 เมตร ยาว 4 เมตร สูง 50 เซนติเมตร

ใบเสมาหินขนาดใหญ่ลักษณะนี้เป็นรูปแบบที่เรียกว่า “เอกลักษณ์” เฉพาะของศิลปกรรมทวารวดีที่พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือครับ เนื่องจากในอดีตสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่แถบนี้นับถือสิ่งเหนือธรรมชาติ ได้แก่ ผีสาง นางไม้ และผีบรรพบุรุษอยู่ก่อนจะมีศาสนาอื่น ๆ เข้ามา มีการสร้างอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์สำหรับเซ่นสรวงบูชาผีต่าง ๆ โดยนำก้อนหินขนาดใหญ่มาวางเป็นขอบเขตล้อมรอบพื้นที่ประกอบพิธีกรรมเอาไว้ เรียกกันว่า “วัฒนธรรมหินตั้ง” เป็นไปได้ว่าโบราณสถานดอนหินศิลาแห่งนี้อาจเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในวัฒนธรรมหินตั้ง มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยปักหลักหินกำหนดเขตประกอบพิธีกรรม เนินดินกึ่งกลางอาจเป็นที่ตั้งของเสาไม้ที่สถิตของผีหรืออาจเป็นแท่นบูชายัญ (ส่วนนี้ผมมโนขึ้นมาเองนะครับ ยังไม่พบหลักฐานอะไรมายืนยัน) ต่อมาในสมัยทวารวดี เมื่อมีการรับเอาศาสนาพุทธเข้ามาได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา หลักหินที่เคยเป็นก้อนหินแผ่นหินธรรมดารูปทรงธรรมชาติจึงถูกสลักเสลาเป็นรูปทรงใบเสมา ส่วนเสาผีหรือแท่นบูชายัญกึ่งกลางลานก็ปรับเปลี่ยนเป็นแท่นประดิษฐานพระพุทธรูปหรือสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และใช้ประกอบพิธีกรรมมาอย่างยาวนานจนถึงพุทธศตวรรษที่ 15 อันเป็นช่วงเวลาที่ประติมากรรมนูนต่ำบนใบเสมาถูกสลักเสลาขึ้น ซึ่งอาจมาทำเพิ่มเติมขึ้นภายหลังบนใบเสมาเก่าเดิมที่มีอยู่แล้วก็เป็นได้

 

ได้พูดคุยกับชาวบ้านที่ทางกรมศิลปากรจ้างให้มาเป็น รปภ. ชั่วคราว ขี่มอเตอร์ไซค์กันมาสองคนนั่งเฝ้าใบเสมหินอยู่ใต้ร่มเงาไม้ด้านข้างทั้งวัน ได้ความว่ามีโครงการจะพัฒนาดอนหินศิลาแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่จะมาช่วย

“เสริมบารมี” ให้กับมรดกโลกภูพระบาทต่อไปในเร็ววัน อาจจะมีการสร้างหลังคาคลุมแบบเดียวกับที่วัดพระพุทธบาทบัวบาน เพื่อไม่ให้ใบเสมาตากแดดตากฝนจนเสียหาย ฟังแล้วผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะเสียบรรยากาศความเป็นโบราณสถานมาก แหล่งโบราณสถานกลางแจ้งในแหล่งดั้งเดิมแบบนี้ยิ่งหายากอยู่ด้วย ทางที่ดีหากจะไม่ให้เสียหายจากดินฟ้าอากาศ ควรจำลองใบเสมาขึ้นมาใหม่ มาวางแทนในตำแหน่งเดิม แล้วเก็บเอาของเก่าไปรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ น่าจะดีกว่าเป็นไหน ๆ ไม่ต้องสร้างหลังคาให้เกะกะสายตา นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมได้บรรยากาศกว่ากันจมเลย

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าเป็นโบราณสถานที่น่าสนใจแวะมาเที่ยวชมมากครับ โดยเฉพาะสำหรับใครที่ตั้งใจจะมาเยี่ยมชมมรดกโลกแห่งใหม่ล่าสุด หลังจากนี้นอกจากอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท แหล่งวัฒนธรรมสีมา

วัดพระพุทธบาทบัวบานแล้ว ควรต้องมีดอนหินศิลาเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้วย จึงจะถือว่าครบถ้วนบริบูรณ์โดยแท้

9/09/68 เวลา 07:02 น.