#แวะชมสมบัติศิลป์

ปราสาทปลายบัด 2 ปริศนาสุสานประติมากรรมพระโพธิสัตว์

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ ชวนแวะ สุรพล สุภาวัฒนกุล ชวนชม

ผมมีโอกาสกลับมายังปราสาทปลายบัด 2 อีกครั้งวันนี้ หลังจากที่มาเยือนหนแรกเมื่อสองปีก่อน ครั้งนั้นผมกับพลพรรคเกิดทะเล้นอยากจะลองเดินเท้าจากปราสาทปลายบัด 1 มายังปราสาทปลายบัด 2 เนื่องจากเห็นว่าอยู่บนยอดเขาเดียวกันและอยู่ห่างมาทางทิศตะวันตกแค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้น ผลก็คือหลงป่าครับ เล่นเอาต้องเดินวนเวียนอยู่ขึ้น ๆ ลง ๆ เขาอยู่ครึ่งค่อนวันเชียว กว่าจะหาทางกลับลงมาได้ เกือบได้กินข้าวลิง เข็ดขยาดไปตามกัน คราวนี้เลยเลือกมาทางรถดีกว่า แล่นขึ้นเขามาตามทางดินถึงลานจอดด้านบนสบาย ๆ เดินเท้าขึ้นยอดเขาอีกแค่ไม่กี่สิบเมตรก็ถึงตัวปราสาทแล้วครับ ปัจจุบันตัวปราสาทกำลังอยู่ระหว่างการขุดแต่งโดยกรมศิลปากร ปราสาทประธานก่อด้วยอิฐจึงเต็มไปด้วยโครงท่อเหล็กค้ำยัน แต่ยังพอเห็นได้ว่าประตูทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนอีกสามด้านเป็นประตูหลอก ทั่วบริเวณทั้งในและนอกกำแพงเรียงรายไว้ด้วยศิลาแลงและหินทรายที่ถูกจัดทำหมายเลขเตรียมไว้สำหรับประกอบเข้าด้วยกันใหม่ด้วยกรรมวิธีอนัสติโลซิส เพื่อคืนสภาพดั้งเดิมในอดีตให้กับปราสาทอีกครั้ง

เขาปลายบัดพบข้อความจากจารึกโบราณเรียกว่า “พนมกาจโตน” ในทางธรณีวิทยาเป็นภูเขาไฟเก่าดับสนิทแล้วเช่นเดียวกับเขาพนมรุ้ง สูง 289 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ปราสาทปลายบัดทั้ง 1 และ 2 สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 15–16 (โดยปราสาทปลายบัด 2 สร้างก่อนปราสาทปลายบัด 1 ประมาณ 100 ปี) เพื่อใช้เป็นศาสนบรรพตหรือศาสนสถานบนยอดเขา ความพิเศษกว่าปราสาทบนยอดเขาแห่งอื่น ๆ คือ มีปราสาทสองแห่งบนยอดเขาเดียวกัน โดยปราสาทปลายบัด 1 เป็นปราสาทหินทราย อยู่ทางทิศตะวันออก ในเขตบ้านโคกเมือง ตำบลจระเข้มาก อำเภอประโคนชัย ส่วนปราสาทปลายบัด 2 เป็นปราสาทอิฐ อยู่ทางทิศตะวันตกในเขตบ้านยายแย้ม ตำบลยายแย้มพัฒนา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ความโดดเด่นอีกประการของโบราณสถานบนเขาปลายบัดคือ การดัดแปลงปากปล่องภูเขาไฟเป็นอ่างเก็บน้ำ รวมทั้งสร้างแนวคันดินบังคับน้ำจากธรรมชาติให้ไหลลงสู่บารายใหญ่เบื้องล่างที่เรียกว่า “ทะเลเมืองต่ำ” เพื่อกักเก็บน้ำหล่อเลี้ยงชุมชนบนพื้นที่ราบบริเวณปราสาทเมืองต่ำ ถือเป็นระบบการจัดการน้ำสมัยโบราณอันน่าทึ่ง

ปราสาทปลายบัด 2 เป็นที่สนใจกว่าปราสาทปลายบัด 1 เนื่องจากในปี พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา ตกเป็นข่าวดัง เมื่อประติมากรรมพระโพธิสัตว์อายุกว่า 1,200 ปี ระบุแหล่งที่มาจากอำเภอประโคนชัย ถูกนำออกประมูลขายไปในราคา 92,500 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้นมีผู้พบว่าในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทน (The Metropolitan Museum of Art) นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ยังปรากฏประติมากรรมพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสัมฤทธิ์สี่กรลักษณะงดงามที่สุด ในสภาพสมบูรณ์ กับประติมากรรมอื่น ๆ ซึ่งระบุว่าได้มาจากอำเภอประโคนชัยและแหล่งใกล้เคียงอีกหลายชิ้นจัดแสดงอยู่ เชื่อว่าถูกนำไปจากปราสาทปลายบัด 2 นี่เอง ชาวบ้านเล่าว่าสมัยนั้นขนไปเป็นคันรถ ส่วนใหญ่เป็นประติมากรรมพระโพธิสัตว์ลักษณะคล้ายกันแต่ขนาดใหญ่เล็กต่างกัน จำนวนถึง 300 องค์ ถูกลักลอบส่งออกไปนอกประเทศในช่วงสงครามเวียดนามที่สหรัฐอเมริกามาตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศไทย (ระหว่าง พ.ศ. 2500–2510)

 

เมื่อสืบสาวข้อมูลจากอดีตนักขุดสมบัติโบราณผู้ขุดพบประติมากรรมสัมฤทธิ์จากปราสาทปลายบัด 2 ก็ได้รับคำบอกเล่าว่าในปี พ.ศ. 2507 นั้นเขาขุดพบประติมากรรมขนาดใหญ่ ลักษณะมีสี่กร ซึ่งถูกฝังกลบไว้รอบพื้นที่ปราสาทได้รวม 9 องค์ แต่ละองค์ต้องใช้ชะแลงงัดส่วนคอของประติมากรรมเพื่อนำขึ้นมาจากดิน ข้อมูลส่วนนี้เองเป็นจุดสำคัญในการอ้างอิง เนื่องจากไปตรงกับรอยตำหนิบริเวณศอของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสำริดที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ในสหรัฐฯ จนในที่สุดเกิดกระแสการเรียกร้องให้ติดตามทวงโบราณวัตถุกลุ่มประติมากรรมพระโพธิสัตว์สำริดเขาปลายบัดคืนจากพิพิธภัณฑ์ในสหรัฐฯ

ประติมากรรมพระโพธิสัตว์กลุ่มนี้ถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีลักษณะเฉพาะเรียกกันว่า “ศิลปกรรมแบบประโคนชัย” กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 13 (ร่วมสมัยกับศิลปะเขมรแบบไพรกเมง–กำพงพระ และศิลปะแบบทวารวดี) พบกระจายตัวอยู่มากในบริเวณที่ราบสูงโคราช ซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิมของราชวงศ์ “มหิธรปุระ” ครองอำนาจเมืองในแถบลุ่มน้ำมูน (บริเวณปราสาทหินพนมวัน ปราสาทหินพิมาย และปราสาทพนมรุ้ง) โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 เสด็จจากเมืองพิมายไปปราบจลาจลในเมืองพระนคร ก่อนปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ต้นราชวงศ์มหิธรปุระ ปกครองอาณาจักรขอม แล้วสร้างปราสาทหินพิมายขึ้นเป็นศูนย์กลาง

 

ประติมากรรม “Golden Boy” ที่สหรัฐอเมริกานำไปจากปราสาทบ้านยางโป่งสะเดาเมื่อ 50 กว่าปีก่อน และเพิ่งส่งคืนมาให้ไทยเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้ ก็จัดอยู่ในรูปแบบศิลปกรรมเดียวกัน จากการศึกษานักวิชาการเชื่อกันว่าคือประติมากรรมฉลองพระองค์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 หรืออาจเรียกว่า “เทวรูปพระเทพบิดร” ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนบรรพบุรุษต้นราชวงศ์มหิธรปุระ ไม่ใช่เทวรูปพระศิวะอย่างที่สันนิษฐานกันแต่แรก ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอาณาจักรขอมโบราณแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะแต่เดิมเชื่อกันตามฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคม ว่าอาณาจักรขอมโบราณแผ่อิทธิพลจากกัมพูชาเข้าสู่ที่ราบสูงโคราช แต่หลักฐานใหม่นี้บ่งชี้ชัดว่าอาณาจักรขอมโบราณเริ่มต้นความรุ่งเรืองอยู่บนที่ราบสูงโคราชแถบพิมาย เมืองต่ำ พนมรุ้ง มาก่อน แล้วจึงแผ่อิทธิพลผ่านทางกษัตริย์ราชวงศ์มหิธรปุระที่ไปปกครองเมืองพระนครในกัมพูชาภายหลัง

 

ปริศนาที่น่าสนใจอีกประการ จากคำบอกเล่าของผู้ขุดสมบัติ คือ ปราสาทปลายบัด 2 ในขณะที่ลักลอบขุดกันเมื่อกว่าห้าทศวรรษก่อนนั้นมีลักษณะเหมือน “สุสานประติมากรรมพระโพธิสัตว์” คือรวบรวมประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์จำนวนมากนำมาฝังไว้ในเขตกำแพงปราสาท โดยนักธรณีวิทยามาตรวจสอบภายหลังยืนยันว่าสิ่งที่นำมาใช้กลบทับเป็นเศษดินและหินบะซอลต์ซึ่งไม่มีอยู่ในบริเวณนี้ แต่เป็นวัสดุที่ขนมาจากนอกพื้นที่ รวมทั้งไม่ใช่เศษอิฐเศษหินจากการพังทลายของปราสาทเช่นโบราณสถานแห่งอื่น ๆ เป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่ามีเรื่องราวที่มาที่ไปในประวัติศาสตร์อย่างไร

นักวิชาการสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากเหตุ “ความขัดแย้งระหว่างศาสนาฮินดูกับพุทธ” ที่น่าจะเริ่มขึ้นในสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 (โอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7) ซึ่งทรงนับถือพุทธศาสนา ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าทรงมีนโยบายอย่างไร แต่คาดว่ากระทบต่อกลุ่มที่นับถือฮินดูอย่างร้ายแรง เนื่องจากในรัชกาลถัดมาคือพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ซึ่งนับถือฮินดูไศวนิกาย ได้กวาดล้างพุทธศาสนาอย่างหนักหน่วง ดังร่องรอยปรากฏในเมืองพระนคร เช่น พระพุทธรูปถูกทุบทำลาย ภาพสลักพุทธถูกสกัดทิ้งหรือดัดแปลงเป็นภาพศิวลึงค์หรือฤๅษี จารึกของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ถูกทำลายจนอ่านไม่ได้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวคงแผ่ขยายมายังเขาปลายบัด จึงมีการรวบรวมประติมากรรมพระโพธิสัตว์จากพื้นที่ใกล้เคียงมาฝังไว้ที่ปราสาทปลายบัด 2 ซึ่งอาจเป็นปราสาทร้างแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ยังเป็นเพียงการคาดคะเน ยังไม่มีหลักฐานจารึกหรือเอกสารยืนยัน คงต้องรอการค้นคว้าเพิ่มเติม หรือรอให้มีการทวงคืนประติมากรรมพระโพธิสัตว์สัมฤทธิ์เหล่านี้กลับมาก่อน จึงจะไขปริศนาได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนครับ

26/08/68 เวลา 03:52 น.