#แวะชมสมบัติศิลป์

อลังการนิทรรศสถาน พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว

ภาคภูมิ น้อยวัฒน์ เรื่อง สุรพล สุภาวัฒนกุล ภาพ

 

อาคารสถาปัตยกรรมแบบจีนประยุกต์สีเหลืองตัดแดงนั้นดึงดูดสายตาตั้งแต่แรกลงรถ ไหนจะประติมากรรมพระอรหันต์แบบจีนหลากอิริยาบถที่เรียงรายอยู่ด้านหน้า จนผมอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงด่าน 18 อรหันต์ในภาพยนตร์จีน “เสี้ยวลิ้มยี่” รู้สึกตัวอีกทีขาทั้งสองข้างก็พามายืนอยู่หน้าประตูทางเข้าเสียแล้ว “ศาลาสันติสุขเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” คือข้อความบนป้ายเหนือซุ้มประตูด้านหน้า ในขณะที่ป้ายบนผนังฝั่งซ้ายมือของประตูทางเข้ามีข้อความว่า “พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” ส่วนป้ายทางซ้ายเป็น “หอนิทรรศน์สานอารยธรรมจังหวัดปัตตานี” เลยไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี กระทั่งเปิดประตูเข้าไปด้านใน แล้วได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์สาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกล่าวต้อนรับว่า “พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เชิญเข้าชมด้านในเลยค่ะ” นั่นแหละครับ สรุปว่าเรียกชื่อนี้ก็แล้วกัน

ตามประวัติพิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นโดย “มูลนิธิเทพปูชนียสถาน” ของศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งอยู่ใกล้ชิดติดกันนี่เอง จากงบประมาณสนับสนุนของกระทรวงวัฒนธรรม จำนวน 17.35 ล้านบาท สร้างเสร็จตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 นับแต่นั้นจึงเป็นแหล่งเรียนรู้ของจังหวัดเกี่ยวกับประวัติเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เทพเจ้าจีนเพียงหนึ่งเดียวในโลกที่บังเกิดเป็นตำนานขึ้นในพื้นที่เมืองปัตตานีของไทย (เทพเจ้าจีนองค์อื่น ๆ ล้วนกำเนิดในประเทศจีนทั้งสิ้น) รวมทั้งวัฒนธรรมประเพณีจีนและอัตลักษณ์ของชุมชนจีนในจังหวัดปัตตานี มาถึงปัตตานีก็ควรมาแวะชมที่นี่ก่อนครับ จะได้มีข้อมูลเป็นพื้นฐานในการท่องเที่ยวได้อย่างสนุก ทางขวามือด้านในใกล้กับโต๊ะจัดทำเป็นป้ายนิทรรศการ “จุดเปลี่ยนแห่งยุคสมัย” แสดงเส้นเวลาจากเมืองท่าการค้าในอดีตกาลสู่จังหวัดปัตตานีในปัจจุบัน สรุปพันกว่าปีครบถ้วนเข้าใจภายในป้ายเดียวเลยครับ ถัดมาคือ “พระยูไล” พระพุทธรูปศิลกรรมแบบจีนองค์ใหญ่แกะสลักจากหินประดิษฐานตรงกับหน้าประตูด้านใน ทางซ้ายขององค์พระเป็นป้ายนิทรรศการประวัติชุมชนชาวจีน หรือ “กือดาจินอ” ในภาษามลายูท้องถิ่น สรุปการเข้ามาอยู่ในดินแดนปัตตานีของคนจีน สรุปแผ่นเดียวจบอีกเหมือนกัน สั้นแต่ได้ใจความ ตรงข้ามกันสองฟากทางเข้าเป็นที่ตั้งของบานประตูไม้โบราณคู่เก่าดั้งเดิมของศาลเจ้าเล่งจูเกียงซึ่งวาดจิตรกรรมจีนภาพ “มึ้งซิ้ง” อันหมายถึงเทพผู้พิทักษ์สององค์พี่น้อง ได้แก่เทพซิ่งทู้กับเทพอุกลุ้ย งานช่างเก่าแก่น่าเกรงขามงดงามน่าชม

 

 

ทางลาดพาเดินลงสู่ห้องถัดไปที่อยู่ติดกัน บนผนังเป็นประติมากรรมหินแกะสลักนูนต่ำบอกเล่าเรื่องราวประวัติของ “องค์พระหมอ” หรือเชงจุ้ยโจวซือกง เทพประธานประจำศาลเจ้าเล่งจูเกียงหรือศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และองค์พระหมอจำลองประดิษฐานบนชั้นวาง ด้านตรงข้ามเป็นป้ายนิทรรศการประวัติเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เข้าสู่ห้องโถงใหญ่บนผนังด้านหนึ่งทำเป็นหุ่นจำลองเล่าเรื่องประวัติและการเดินทางของลิ้มโต๊ะเคี่ยม ที่หลบหนีคดีถูกใส่ร้ายจากขุนนางกังฉินด้วยเรือสำเภาพร้อมสมัครพรรคพวกรวม 30 ลำ จากเมืองจั่วจิว ในมณฑลฮกเกี้ยน ออกผจญภัยในท้องทะเล ปะทะกับกองเรือของสเปนได้ชัยชนะ ก่อนจะเข้ามาอาศัยยังเมืองปัตตานี พบรักกับสตรีสูงศักดิ์ญาติเจ้าเมือง แต่งงานและลงหลักปักฐาน มีบทบาทสำคัญในเมืองปัตตานีในฐานะนายช่างหล่อปืนใหญ่สำคัญสามกระบอกอันเลื่องชื่อ ได้แก่ ศรีนครี มหาลาลอ และพญาตานี รวมทั้งควบคุมการก่อสร้างมัสยิดประจำเมืองคือมัสยิดกรือเซะ

ในขณะที่ผนังด้านตรงข้ามจัดทำเป็นประติมากรรมศิลาจำหลักนูนต่ำบอกเล่าประวัติของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวว่าได้ให้สัญญากับมารดาผู้ชราว่าจะตามตัวลิ้มโต๊ะเคี่ยมพี่ชายกลับบ้านให้ได้ ไม่สำเร็จจะยอมสละชีวิต ซึ่งนางได้เดินทางตามหามาจนพบพี่ชายที่เมืองปัตตานี แต่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมปฏิเสธที่จะกลับบ้านเกิดเนื่องจากกำลังทำงานสำคัญคือคุมการก่อสร้างมัสยิดกรือเซะ ไม่อาจปลีกตัวไปได้ นางจึงผูกคอตาย ณ ต้นมะม่วงหิมพานต์หน้ามัสยิด โดยก่อนตายได้สาปแช่งไว้ ให้พี่ชายไม่สามารถสร้างมัสยิดได้สำเร็จ ทำให้การก่อสร้างมัสยิดพบกับอุปสรรค ทุกครั้งที่ใกล้เสร็จก็จะถูกฟ้าผ่า จนต้องปล่อยทิ้งร้าง ผู้คนเลื่อมใสในความศักดิ์สิทธิ์จึงได้นำไม้มะม่วงหิมพานต์ที่นางผูกคอตายมาแกะสลักเป็นรูปเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกราบไหว้บูชากันมานับแต่นั้น

ท้ายห้องจัดแสดงป้ายศิลาหน้าฮวงซุ้ยเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ว่ากันว่าป้ายแรกสมัยโบราณจมอยู่ใต้ดินไปแล้ว) ป้ายนี้เป็นป้ายรุ่นที่ 2 ซึ่งเมื่อมีการบูรณะฮวงซุ้ยเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวครั้งล่าสุด ได้มีการจัดทำป้ายฮวงซุ้ยใหม่ขึ้นทดแทนเป็นรุ่นที่ 3 จึงได้นำป้ายรุ่นที่ 2 มาเก็บรักษาไว้ที่นี่ เดินผ่านซุ้มประตูโค้งประดับไฟหลากสี เข้าไปด้านในสุดเป็นห้องโถงใหญ่ กึ่งกลางห้องจัดแสดงรูปจำลองเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวประดิษฐานบนเกี้ยวใหญ่มหามงคล ใช้ในขบวนแห่ประกอบพิธีงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่จัดขึ้นหลังตรุษจีน 13 วันเป็นประจำทุกปี โดยรอบเรียงรายไว้ด้วยเกี้ยวเล็กสำหรับแห่เทพองค์อื่น ๆ จากศาลเจ้าเล่งจูเกียง ในประเพณีหามเกี้ยวองค์พระลุยน้ำลุยไฟที่จัดขึ้นช่วงในมาฆบูชาของทุกปี และยังมีเกี้ยวเล็กสำหรับหามเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวสำหรับในประเพณีแห่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวไปในงานเช็งเม้งด้วย

 

กึ่งกลางห้องโถงเป็นแท่นเรียงรายด้วยประติมากรรม 18 อรหันต์ ว่ากันว่าจำลองแบบมาจากพระอุโบสถใหญ่ของอารามในพระราชวังหลวงของจีน ที่ประดิษฐานพระเมตไตรยโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์มัญชุศรี และพระโพธิสัตว์โลเกศวร ด้านข้างพระประธานทั้งสามองค์นั้นเรียงรายไว้ด้วยรูปสลักของพระสาวก 18 รูป ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์สำคัญในประวัติศาสตร์ของนิกายมหายาน ที่อยู่ในโลกมนุษย์เพื่อเผยแผ่ธรรมะเพื่อทางหลุดพ้นแก่มนุษย์ เดิมมี 16 องค์ ได้แก่ พระปินโฑ พระกนกวัจฉะ พระกนการัทวาช พระสุปิณฑะ พระนกุล พระภัทร พระกาลิกะ พระวัชรบุตร พระลุปากะ พระปันถกะ พระราหุล พระนาคเสน พระอิงคทะ พระวันวาลี พระอชิตะ พระจุฑะปันถา ต่อมาได้มีการเพิ่มพระนนทมิตรและพระปินโทลขึ้น ทำให้เป็น 18 อรหันต์ในที่สุด ซึ่งที่วัดเส้าหลินได้จำลองแบบมาด้วย คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันจากนิยายแนวบู๊ลิ้มในชื่อว่า “18 อรหันต์ทองคำ” ศิษย์เส้าหลินที่สำเร็จการฝึกวิชาจะต้องผ่านด่านออกมาให้ได้

 

ขากลับเท่ากับว่าผมเองสำเร็จวิชาแล้ว เพราะชมนิทรรศการเสร็จ ก็เดินผ่านด่าน 18 อรหันต์ออกมาจากพิพิธภัณฑ์เหมือนกัน

11/11/68 เวลา 06:47 น.